TYP Thailand

หากเราอยากจะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร บริการขนส่งต่างๆ หรือแม้แต่ร้านค้าสะดวกซื้อ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรานึกถึงร้านค้าเหล่านั้นได้ดี นอกจากตัวสินค้าซึ่งอาจจะมีเหมือนกันมากมายหลายร้านแล้ว ก็คือเอกลักษณ์ของร้านที่สร้างการจดจำให้กับลูกค้า และแน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์สินค้าได้แม่นยำ นั่นก็คือชุดยูนิฟอร์ม นั่นเอง ไปดูกันสิว่าชุดยูนิฟอร์มนั้นจะเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์ของเราได้อย่างไร  ความลับของการเพิ่มยอดขายด้วยชุดยูนิฟอร์ม   ชุดยูนิฟอร์ม สร้างการจดจำให้กับแบรนด์   เราคงเคยได้ยินกันบ่อยๆ เวลาที่มีข่าวอะไรในกระแสโซเซียลจะเรียกแบรนด์ที่ไม่อยากเอ่ยชื่อด้วยลักษณะของชุดนิฟอร์ม เช่น บริษัทขนส่งเสื้อส้ม บริษัทขนส่งอาหารในชุดเขียว สายการบินชุดเหลือง นั่นก็หมายความว่า ชุดยูนิฟอร์มของแต่ละบริษัทนั้นได้สร้างการจดจำให้กับสังคมและรวมถึงสร้างการจดจำให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี การลงทุนตัดชุดยูนิฟอร์มที่สื่อถึงคาแรคเตอร์ของสินค้าจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากในการเพิ่มยอดขาย    ยูนิฟอร์มสร้างภาพลักษณ์ให้ธุรกิจดูดึงดูดใจ    ชุดยูนิฟอร์มถือเป็น ICONIC ที่สำคัญของแบรนด์ เพราะชุดยูนิฟอร์มจะสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนของธุรกิจ  ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจดูน่าดึงดูดและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หากสินค้าของแบรนด์ เน้นความสะอาด ปลอดภัย ความน่าเชื่อมันในด้านสุขภาพ สังเกตได้ว่าชุดยูนิฟอร์มจะมีลักษณะคล้ายกับบุคลากรทางการแพทย์แต่มีความทันสมัย หากสินค้าของแบรนด์เน้นความโฉบเฉี่ยวทันสมัย ชุดยูนิฟอร์มก็ต้องดูมีบุคลิกภาพเช่นเดียวกับสินค้า ทำให้สินค้าโดดเด่นและน่าซื้อหามากยิ่งขึ้น    สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า    ชุดยุนิฟอร์มเป็นสื่อที่ดีในการสร้างคาวามเชื่อมันให้สินค้า ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าบุคลากรที่มาพบปะหรือนำเสนอขายนั้นเป็นตัวแทนของบริษัท ที่สามารถเข้าหาข้อมูลการซื้อได้ทันที มีความมั่นใจในตัวของสินค้ามากยิ่งขึ้น    สร้างความรู้สึกเป็นทีมให้กับองค์กร ส่งเสริมความภาคภูมิใจของบุคลากร    นอกจากผลทางตรงในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ทางธุรกิจแล้ว ชุดยูนิฟอร์มยังส่งเสริมยอดขายในทางอ้อม ด้วยการสร้างความรู้สึกเป็นทีมให้กับสมาชิกในองค์กร ทำให้ทีมงานเกิดความภาคภูมิใจในงานในสินค้าและเกิดความมุ่งมุ่งในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอีกด้วย  จะเห็นได้ว่าชุดยูนิฟอร์มนั้นมีประโยชน์อย่างมากในเชิงธุรกิจ เป็นการลงทุนไม่มากแต่ให้ผลที่คุ้มค้า ทั้งสร้างภาพลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่น สร้างการจดจำ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับทีมงาน นอกจากนี้ การที่บุคลากรใส่ชุดยูนิฟอร์มไปไหนมาไหนก็เป็นสื่อโฆษณาเคลื่อนที่ที่ดีอีกด้วย ดังนั้นหากอยากจะเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าต้องไม่ละเลยที่จะหาชุดยูนิฟอร์มที่เหมาะสมกับสินค้าหรือแบรนด์มาช่วยเพิ่มยอดขายกันนะ  

สำหรับผู้ที่รักในการสวมใส่เสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย เสื้อยืด สิ่งหนึ่งที่ต้องเจอแน่นอนก็คือการที่ผ้านั้นเกิดการหดตัว หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมผ้าจะต้องมีการหดด้วยนะ การหดตัวของเนื้อผ้าเกิดจากอะไร แล้วมันแปลว่า เนื้อผ้าชนิดนั้นๆ คุณภาพไม่ดีใช่หรือเปล่า ตามไปหาคำตอบกัน  ทำไมผ้าถึงหดตัว  เมื่อเราซื้อเสื้อผ้ามาสวมใส่ เราจะพบกว่า เสื้อผ้าโดยเฉพาะเสื้อยืด หรือเนื้อผ้าฝ้ายจะมีการหดแทบทุกตัว หลายคนจึงตั้งคำถามและข้อสงสัยว่า เอ๊ะทำไม ผ้าจะต้องหดด้วย ผ้าที่หด แปลว่า เนื้อผ้าไม่ดีใช่หรือเปล่า คำตอบของเรื่องนี้ก็คือว่า ก่อนที่เราจะได้ผืนผ้ามาผลิตเป็นเสื้อ กระโปรง กางเกง ในรูปทรงต่างๆ ที่สวยงามตามการออกแบบของแต่ละแบรนด์นั้น วัตถุดิบสำคัญ คือเมล็ดฝ้ายจะต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ที่จะสร้างให้เป็นเนื้อผ้า เส้นใยฝ้าย หรือที่เรียกกันว่า Tension จะถูกดึงให้มีการขยายตัวออกด้วยกระบวนการผลิตที่สำคัญ  ดังนี้  นำเส้นใยดิบ (Fiber)  มาผ่านเครื่องหมุนตีให้เส้นใยฟู (Spun) ซึ่งกระบวนการนี้ เส้นใยจะถูกขยายออกอย่างมาก หลังจากนั้นจึงปั่นเป็นเส้นด้าย (Spinning)  และเข้าเครื่องทอเพื่อผ่านกระบวนการทอ หรือ Woven ให้เป็นผ้าผืน หลังจากนั้นจึงดึงผ้าในกระบวนการตัด Cutting process  แล้วนำไปเย็บเป็นเสื้อผ้า ซึ่งจะเห็นได้ว่าในทุกขั้นตอนที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นการทำให้เส้นใยเกิดการยืดตัวออกและไม่สามารถหดกลับได้เอง ซึ่งเราเรียกว่า  Elastic Shrinkageกระบวนการขั้นตอนเหล่านี้ ทำให้เส้นใยธรรมชาติอยู่ในภาวะที่ขยายตัวและมีแรงดึงอยู่ในเนื้อผ้า  และต่อมาเมื่อเส้นใยนั้นถูกทำให้เปียก น้ำจะทำให้เส้นใยเกิดการพองตัว หรือที่เรียกว่า swelling ซึ่งเป็นการขจัดแรงดึงที่ค้างอยู่  Elastic Shrinkage  ออกจากเส้นใยฝ้าย ทำให้เส้นใยที่ถูกขยายออกจากการดึงกลับคืนตัว และเสื้อผ้าที่ถูกตัดเย็บจะหดลง นั่นหมายความว่าเสื้อผ้าที่เกิดการหดตัวนั้น เป็นเสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติแท้ๆ  ซึ่งทำให้ระบายอากาศได้ดี  อย่างไรก็ตาม ปัญหาการหดจนเสื้อผ้าผิดรูปผิดร่างก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก ทำให้แบรนด์เสื้อผ้าระดับจำเป็นที่จะต้องควบคุมการผลิตให้ค่าการหดตัวของเนื้อผ้าไม่สูงมากจนเกินไปนัก ค่ามาตรฐานในการหดของเนื้อผ้าจึงไม่ควรเกิน  5%  และแบรนด์ระดับไฮด์เอนน์ที่มีการควบคุมการผลิตที่ดีจะเพิ่งการลงทุน ด้วยกระบวนการทำให้เส้นใยหดตัวก่อนนำไปตัดเย็บ ในบางครั้งเราจึงพบว่าเสื้อผ้าเกรดพรีเมี่ยมต่างๆ จะไม่พบการหดตัวเลย หรือมีค่าการหดตัวที่น้อยมาก นั่นก็เป็นเพราะเสื้อผ้าเหล่านั้นถูกทำให้หดตัวก่อนที่จะนำมาตัดเย็บ ซึ่งก็มักจะมีราคาที่สูงกว่าเสื้อผ้าในท้องตลาดทั่วไปนั่นเอง  เอาล่ะ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ทุกท่าคงจะได้คำตอบแล้วว่า เนื้อผ้าที่ดีนั้นต้องหด เพราะการหดของเนื้อผ้าเกิดจากธรรมชาติของเส้นใยนั่นเอง หากเรากำลังมองหาเนื้อผ้าเส้นใยธรรมชาติสวมใส่ยังไงก็ต้องเผื่อใจสำหรับการหดตัวของเส้นใยด้วยนะ

อยากจะเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ ต้องไม่ลืมที่จะสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดเจน และหนึ่งในวิธีการสร้างการจดจำให้กับคุณลูกค้าก็คือ การเลือกเนื้อผ้าที่เข้ากันกับคอนเซ็ปต์แบรนด์ นั่นเอง วันนี้ไปดูกันว่าอยากจะให้แบรนด์เป็นที่จดจำเราต้องเลือกเนื้อผ้าอย่างไรให้เหมาะกับคอนเซปแบรนด์ คอนเซ็ปต์แบรนด์คืออะไร  คอนเซ็ปต์แบรนด์ คือความคิดหรือไอเดียในการออกแบบเสื้อผ้าที่จะสร้างคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนของแบรนด์ เช่น แบรนด์ uniqlo คือเสื้อผ้าที่ทุกคนใส่ได้   แบรนด์ sretsis เสื้อผ้าเด็กผู้หญิงที่มีความขี้เล่นซุกซน หรือแบรนด์ asava คือผู้หญิงที่ฉลาด เป็นต้น ซึ่งหากเราสังเกตจะเห็นได้ว่า แต่ละแบรนด์ก็จะมีเนื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ ซึ่งสอดคล้องกับคอนเซ็ปต์มากๆ ตามไปดูกันว่า เนื้อผ้าแต่ละแบบเหมาะกับคอนเซ็ปต์อย่าไร  เลือกเนื้อผ้าให้เหมาะกับคอนเซปแบรนด์   คอนเซ็ปต์ลุคมินิมอล ใส่ง่าย สบายๆ    ลุคสบายๆ  จะเน้นเนื้อผ้าที่มีความนุ่ม ระบายอากาศได้ดี ตัดเย็บแบบเรียบง่าย แต่โดดเด่นด้วยการออกแบบที่สวมใส่ได้ทุกคน ทุกโอกาส เนื้อผ้าที่เหมาะสมกับลุคนี้ เช่น  ผ้าคอตตอน หรือ ผ้าฝ้าย (Cotton)  ซึ่งเป็นผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เนื้อผ้านุ่ม ระบายอากาศได้ดี ผ้าสแปนเด็กซ์ (Spandex)  ผ้ายืดเนื้อนิ่ม  ทิ้งตัว ยืดหยุ่นดี  รีดง่าย สวมใส่ได้แบบสบายๆ    คอนเซ็ปต์ลุคเรียบหรู ดูคุณหนู ดูแพง    สำหรับเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าที่อยากจะสร้างคาแรคเตอร์ของเสื้อผ้าแบบเรียบหรู ดูแพง ดูคุณหนู ควรจะเลือกเนื้อผ้าที่มีความพลิ้วไหว หรือมีความมันวาว ให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่ก็ดูไม่ธรรมดา เนื้อผ้าที่เหมาะสม เช่น  ผ้าซาติน (Satin) ซึ่งเป็นเนื้อผ้าที่มีลักษณะเป็นผิวลื่นๆ มันวาว มีน้ำหนัก และคงรูปได้ดี   ผ้าชีฟอง (Chiffon) ผ้าเนื้อบางเบา โปร่งแสง ใส เรียบลื่น ให้ความรู้สึกพลิ้วไหว  ผ้ากำมะหยี่ (Velvet) เนื้อผ้าค่อนข้างหนา ผิวสัมผัสนุ่ม ดูหรูหรา เนื้อผ้าทิ้งตัวดี   คอนเซ็ปต์ลุคเอิร์ธโทน สบายๆ สไตล์คนรักธรรมชาติ    สำหรับเสื้อผ้าในแนวธรรมชาติเอิร์ธโทน  จะเน้นความเรียบง่าย การตัดเย็บที่ไม่ซับซ้อนแต่ดูโดดเด่นและแตกต่างจากการออกแบบ เนื้อผ้าในลุคนี้ เน้นผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ สวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี  เนื้อผ้าที่เหมาะสม เช่น  ผ้าใยกัญชง (Hemp) เป็นเนื้อผ้าจากธรรมชาติ มีโทนสีสวยงาม เนื้อผ้ามีน้ำหนัก ทิ้งตัว ยืดหยุ่น เมื่อรีดจะเรียบมีความมันวาวเล็กน้อย  ผ้าป่าน (Voile) ผ้าเนื้อโปร่ง บางเหมือนผ้าสาลูชนิดบาง แต่กระด้างและย่นเล็กน้อย  เนื้อผ้ามีความยืดหยุ่นต่ำ ดูดความชื้น ในการสร้างแบรนด์เสื้อผ้า สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการสร้างตัวตนหรือคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนของเสื้อผ้าผ่านคอนเซ็ปต์แบรนด์  ซึ่งจะกำหนดทิศทางการออกแบบของเสื้อผ้าทำให้เสื้อผ้านั้นมีเอกลักษณ์หรือมีสไตล์ที่แตกต่าง ซึ่งการเลือกเนื้อผ้าที่เหมาะสมก็จะเป็นการช่วยย้ำให้คาแรคเตอร์ของแบรนด์และคอนเซ็ปต์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง รู้อย่างนี้ก็อย่าลืมเลือกเนื้อผ้าที่เป๊ะปังกับแบรนด์ของคุณกันนะ   

ในยุคปัจจุบันที่โลกออนไลน์กลายเป็นตลาดสินค้าที่กว้างขวางและใหญ่โต เราต้องยอมรับว่าแบรนด์เสื้อผ้าต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย และหลายแบรนด์ก็ดูจะฮอตสุดฮอต เรียกว่าทำกำไรและไปได้ดิบได้ดีมากๆ จนทำให้ใครหลานคนนึกอยากจะเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้ากันบ้าง แต่รู้ไหมว่า การจะเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสุดฮอตที่สาวสายแฟเขายอมรับนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ใครที่กำลังนึกอยากจะเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า ต้องลองศึกษาแนวทางกันดูก่อน กว่าจะเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสุดฮอต เราต้องทำอะไรบ้าง    ต้องกำหนดสไตล์ของเสื้อผ้าแบรนด์เราให้ชัดเจน      สไตล์คือสิ่งที่ดึงดูดลูกค้าให้จดจำแบรนด์เสื้อผ้าของเราได้ดี ดังนั้น หากอยากจะเป็นเจ้าของแบรนด์เราควรผลิตเสื้อผ้าในสไตล์ที่เราชื่นชอบ ลองคิดดูสิว่า โดยส่วนใหญ่แล้วเราชอบเสื้อผ้าในสไตล์ไหน หรือมีแบบเสื้ออะไรที่ปิ๊งเข้ามาในหัวเราบ่อยๆ สไตล์นั้นคงใช่แล้วค่ะ    ขายให้ใคร ขายที่ไหน ขายอย่างไร      นอกจากสไตล์แล้ว สิ่งสำคัญที่เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าต้องกำหนดก็คือ เรามีเป้าหมายในการค้าอย่างไร เสื้อผ้าของเราน่าจะโดนใจลูกค้ากลุ่มไหน ถ้าเรามีกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างชัดเจนในใจ เราจะกำหนดได้ว่าเสื้อผ้าแบบนี้ กลุ่มลูกค้าระดับนี้ ควรจัดจำหน่ายในราคาเท่าไหร่ ขายที่ไหน และขายด้วยการตลาดอะไรที่จะเข้าถึงลูกค้าของเราได้ดี    ออกแบบ สเก็ตแบบของเสื้อผ้าที่เราชื่นชอบ    เมื่อกำหนดสไตล์ และกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อมาก็คือ การออกแบบและสร้างรูป สเก็ตของสินค้า เพื่อที่จะดูว่าหน้าตาของเสื้อผ้าที่เราออกแบบเป็นอย่างไร ต้องใช้วัตถุดิบแบบไหน หรือต้องการช่างที่ฝีมือระดับใด    หาวัตถุดิบ แหล่งการผลิต ลองผลิตสินค้าตัวอย่างออกมาชมกันดูก่อน    หลังจากได้แบบร่างแล้ว สิ่งที่เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าต้องทำก็คือการตามหาแหล่งวัตถุดิบและช่างฝีมือที่จะช่วยให้แบบของเรานั้นกลายเป็นจริง  อย่าลืมว่าแหล่งวัตถุดิบดีๆ และช่างฝีมือเลิศๆ นั่นแหละ คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้สินค้าของคุณฮอตแบบขั้นสุด    ลองถ่ายแบบดูสิ เรียกกระแสจากฐานลูกค้าได้หรือเปล่า    อีกเรื่องที่สำคัญสำหรับยุคนี้ หากขึ้นแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะลองถ่ายแบบ ฟิตติ้งสวยๆกับเสื้อผ้าของแบรนด์ การลงภาพสวยๆเพื่อเรียกเรทติ้งจะช่วยให้แบรนด์เสื้อผ้าโดดเด่นและน่าสนใจ แบรนด์ไหนฟิตติ้งออกมาดี ภาพสวย สังเกตได้ว่าผู้คนจะรอ CF เสื้อผ้ากันแบบมากมาย  เอาล่ะ ถ้าทำมาจนถึงขั้นตอนนี้แล้ว พบว่าเสื้อผ้าของแบรนด์เราได้รับความสนใจอย่างมาก มั่นใจว่าสไตล์นี้คือใช่ การออกแบบคือโดน ชุดฟิตติ้งเป็นที่ฮือฮา  บอกเลยว่าคุณมาถึงจุดที่ใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว แค่หาแหล่งวัตถุดิบที่มั่งคงในระยะยาว  หาช่างฝีมือประจำแบรนด์ สนุกกับการออกแบบเสื้อผ้าใหม่ๆ แค่นี้แบรนด์เสื้อผ้าของคุณก็มีทีท่าว่าจะฮอตสุดๆแล้วล่ะ

เจ้าของแบรนด์ทุกคนก็ล้วนอยากให้แบรนด์ของตัวเองเป็นที่จดจำของลูกค้า และเป็นสินค้าที่ขายดิบขายดีจนต้องสั่งพรีไม่มีพร้อมส่ง แต่ก็นั่นแหละ เดี๋ยวนี้มีแบรนด์ต่างๆเปิดตัวกันออมามากมาย ยิ่งแบรนด์เสื้อผ้าด้วยแล้ว ยิ่งออกมาเปิดตลาดกันแข่งขันกันสุดฤทธิ์ แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ ให้หนึ่งในแบรนด์เสื้อผ้าที่น่าจดจำและขายดิบขายดีเป็นที่สุดนั้น เป็นชื่อแบรนด์เสื้อผ้าของเรา ตามไปลุยกัน  4 ไอเดีย สร้างแบรนด์เสื้อผ้าให้น่าจดจำและขายดี   สร้างคาแรคเตอร์ให้กับเสื้อผ้าของลูกค้าของคุณ    คาแรคเตอร์ ภาพลักษณ์ หรือตัวตนของแบรนด์ คือสิ่งที่ดึงดูดลูกค้าให้จดจำแบรนด์เสื้อผ้าของคุณได้ดีที่สุด คุณต้องชัดเจนในความรู้สึกว่าคุณตั้งใจจะสร้างแบรนด์เสื้อผ้าที่มีคาแรคเตอร์อย่างไร เช่น นี่คือเสื้อผ้าสำหรับสาวน่ารัก สดใส เช่น แบรนด์ลีนอราวด์  นี่คือเสื้อผ้าสำหรับสาวสมาร์ท หรูหรา มีระดับ เช่น แบรนด์จัสปาล  คาแรคเตอร์หรือตัวตนของแบรนด์สะท้อนได้จากสินค้า แพ็คเกจ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งโดยรวมแล้วมันจะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณและเลือกซื้อเสื้อผ้าของคุณตามสไตล์    สร้าง STORY ให้กับแบรนด์ แบรนด์ของเราต้องมีเรื่องเล่านะจ๊ะ     นี่คือยุคแห่งการสื่อสาร งานขายต้องมาพร้อมกับ  Story หรือเรื่องเล่าที่น่าสนใจของแบรนด์ คุณต้องยอมรับว่าแค่สินค้ามีคุณภาพที่ดี ราคาเบาสบาย ไม่เพียงพออีกต่อไป เรื่องเล่าหรือ STORY จะสร้างการติดตาม ความโดดเด่นและน่าสนใจให้กับแบรนด์มากยิ่งขึ้น ทำให้แบรนด์ของคุณน่าจดจำ จึงไม่น่าแปลกใจที่เพจต่างๆ ของแบรนด์เสื้อผ้า จะเลือกลงเรื่องเล่าโน่นนี่นั่นมากมาย เพราะเรื่องเล่าเหล่านั้นจะช่วยเสริมคาแรคเตอร์ที่เด่นชัดและมั่นคงให้กับแบรนด์มากยิ่งขึ้นยังล่ะ     ชื่อแบรนด์ต้องใช่ โลโก้ต้องบอกได้ว่านี่คือ เรา    ชื่อแบรนด์และโลโก้มักเป็นเรื่องแรกๆ ที่เราจะคิด แต่รู้หรือไม่ว่า นั่นอาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ก่อนที่คุณจะเลือกชื่อแบรนด์ โลโก้แบรนด์ คุณควรจะมีความชัดเจนในคาแรคเตอร์ของเสื้อผ้า และกลุ่มลูกค้าที่คุณจะจำหน่าย เพราะชื่อแบรนด์ต้องสื่อชัดถึงคาแรคเตอร์ของสินค้า โลโก้แบรนด์ต้องตอกย้ำให้เห็นชัดในภาพที่สื่อเพื่อเสริมความเข้มแข็งให้กับคาแรคเตอร์แบรนด์   สร้างความรู้สึกแตกต่าง คุ้มค่า    แบรนด์ที่ขายดีและเป็นที่จดจำ ต้องสร้างให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึงความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ การทำตามๆกันไป ไม่ใช่ทิศทางที่ดีในระยะยาวของการสร้างแบรนด์ นอกจากนั้นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือการสร้างความรู้สึก “คุ้มค่า” ภาพที่ใช้สื่อต้องชัดเจนว่าเมื่อเลือกเราแล้วลูกค้าจะคุ้มค่าอย่างไร เช่น เสื้อผ้าในลุคสมาร์ทกับภาพการประชุมสำคัญๆ หรือพบปะลูกค้า เสื้อผ้าลุคแฟมินีนกับภาพเดทหวานๆ ที่สื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ    เอาล่ะ ใครอยากสร้างแบรนด์เสื้อผ้าให้ขายดิบขายดี เป็นที่จดจำของคุณลูกค้า ก็ลองเอาทริค ดีๆ ที่เรานำเสนอมาวันนี้ไปใช้กันดูนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมเรื่องบริการหลังการขายและรับฟังเสียงลูกค้าด้วยนะ เพราะนั่นแหละคือสิ่งผูกมัดใจลูกค้าให้รักให้หลงแบรนด์ของคุณขั้นสุดเลยล่ะ 

อยากเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า เริ่มต้นอย่างไร ยุคนี้สมัยนี้ การเป็นเจ้าของแบรนด์หรือเป็นเจ้าของกิจการไม่ใช่เรื่องใหญ่เกินฝันหรือเกินเอื้อมอีกต่อไป ใครที่มีหัวด้านธุรกิจ มีสินค้าในใจที่รักแอยากจะผลิตออกมาจำหน่าย ถึงมีทุนไม่มากมายก็เริ่มต้นเป็นเจ้าของกิจการได้แล้วนะคะ และหนึ่งในไอเดียธุรกิจที่ได้รับความนิยมมาก เรียกว่าทั้งขายดิบขายดีและมีเจ้าของแบรนด์หน้าใหม่อยู่เสมอก็คงไม่พ้นธุรกิจ “เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า” ใครที่กำลังสนใจธุรกิจนี้ และเมียงมองอยู่ว่าจะเริ่มต้นยังไง ตามมาเลยค่ะ  4 ทริคธุรกิจ สำหรับเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าหน้าใหม่    ค้นพบสไตล์ที่ใช่สำหรับคุณ  สไตล์ คือไอเดียที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้า อยากจะเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าที่ประสบความสำเร็จ ต้องเริ่มจากค้นพบสไตล์ที่ใช่สำหรับคุณ เพราะสไตล์แตกต่างจากแฟชั่นซึ่งมาไวไปไว หากคุณมีสไตล์ของเสื้อผ้าที่ชัดเจน ค่อยเติมลูกเล่นความเป็นแฟชั่นลงไปตามแรงบันดาลใจของดีไซน์เนอร์เสื้อผ้าของคุณจะไม่น่าเบื่อ ดูดี ดังนั้น ลองคิดๆดูสิว่า คุณชอบเสื้อผ้าในสไตล์แบบไหน ลุคสมาร์ท ลุคโรแมนติก แฟมินีน มินิมอล สไตล์ธรรมชาติแบบเน้นเส้นไยสีสันโทนอบอุ่น หรืออะไร หากคุณค้นพบสไตล์ที่ใช่คุณจะสามารถมองเห็นภาพธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้าที่ชัดเจนขึ้น    ค้นพบกลุ่มลูกค้า คุณจะขายใคร  เอาล่ะ หากคุณค้นพบสไตล์ที่ใช่แล้ว มีรูปแบบของเสื้อผ้าที่อยากจะผลิตออกมาขายแล้ว คุณต้องมองแล้วล่ะว่า “ลูกค้า” ของคุณน่าจะเป็นใคร การกำหนดกลุ่มเป้าหมายหรือกำหนดลูกค้าเป็นเรื่องพื้นฐานของทุกธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่การสร้างแบรนด์เสื้อผ้า เพราะหากคุณค้นเจอว่า เสื้อผ้าสไตล์นี้ เหมาะสำหรับขายให้กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ คุณจะกำหนดราคาขายที่เหมาะสมกับลูกค้าของคุณได้ กำหนดแนวทางการออกแบบที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่า คุณจะหาเจอว่าคุณจะนำเสนอขายสินค้าให้กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างไร    หาให้เจอแหล่งผลิต วัตถุดิบและช่างฝีมือดี  อีกหนึ่งเรื่องสำคัญของผู้ผลิตเสื้อผ้า หรือเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า ก็คือการหาให้เจอแหล่งผลิต วัตถุดิบ หรือช่างฝีมือที่ถูกใจ เพราะกว่าจะผลิตเสื้อได้หนึ่งตัวนั้น ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ออกแบบ (อาจจะจ้างออกแบบหรือออกแบบเอง) หาวัตถุดิบเนื้อผ้าที่ถูกใจมาทำแบบตั้งต้น สร้างแพทเทิร์น เย็บตัวอย่างก่อนจะ เย็บเพื่อวางขายจริง ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ เจ้าของแบรนด์ไม่จำเป็นต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด แต่ต้องเสาะหาว่าตรงไหนดี ตรงไหนโดนใจ แล้วอย่าลืม พยายามรักษาช่างฝีมือที่ถูกใจไว้ให้อยู่กับแบรนด์ไปนานๆ  การตลาดที่ทันสมัย เปิดช่องทางขายให้กับแบรนด์ของคุณ  ขั้นตอนสุดท้ายของการเป็นเจ้าของแบรนด์คือการวางเกมส์การตลาด การมองหาช่องทางการขายที่เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายซึ่งเดี๋ยวนี้มีช่องทางที่แตกต่างหลากหลาย และน่าสนจากมาย การลงทุนกับการตลาด เช่น ทำภาพ พรีวิวเสื้อผ้าแบบดีๆ สื่อชัดเจนถึงสไตล์ของสินค้า สามาถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้แบบโดนใจ บอกเลยว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่าแก่การลงทุนแน่นอน  แน่นอนการเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าไม่ใช่เรื่องยากหรือไกลเกินที่จะเริ่มต้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรือเล่นๆ ดังนั้น ถ้าคุณกำลังสนใจจะเอาดีด้านนี้จริงๆ ลองพิจารณา ทริคเล็กๆที่เรานำมาฝากกันดูนะ ถ้าตอบคำถามนี้ได้ทุกข้อ คุณก็คงพร้อมจะเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าหน้าใหม่ที่โดดเด่นเกินใครแล้วล่ะ